วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทางม้าลายกับสัญญาณไฟให้ข้าม

ตั้งแต่พ่อเอสเสียไป เอสก็เริ่มเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น เอสตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขับรถเองค่ะ เพราะคิดคำนวนดูแล้วยังไงก็ไม่คุ้มกับค่าความสบายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเอสเลยเดินและใช้รถโดยสารสาธรณะซะส่วนใหญ่

แน่นอนว่าเอสเลี่ยงไม่ได้กับการข้ามทางม้าลาย เอสจะเหนื่อยทุกครั้งที่ต้องข้ามทางม้าลาย คือถ้าแถวนั้นมีสะพานลอยเอสจะดีใจซะมากกว่า แต่เสียดายที่ที่เอสเจอส่วนใหญ่ มักจะมีแค่ทางม้าลาย ที่เอสเรียกว่าทางลูกเมียน้อย เพราะกว่าจะได้ข้ามแต่ละที บางทีเอสรอถึงครึ่งชั่วโมง เพราะหาจังหวะข้ามไม่ได้
ที่มาภาพ : http://office.bangkok.go.th/dotat/periodical_3_4_2547/p12-13.htm

ถ้าถนนมีแต่รถยนต์ การหาจังหวะข้ามไม่ยากเท่า ถนนที่มีมอเตอร์ไซค์คอยลัดเลาะนะคะ บางทีเจอขับสวนเลนก็มี

เมื่อ 10 ปีก่อน เอสดีใจมากที่หน้ามหาวิทยาลัยเอสมีสัญญาณให้กดข้ามถนน แบบว่าถ้ากด ก็จะมีเลขนับถอยหลัง แล้วก็จะมีไฟเขียวไฟแดงของรถ ให้รถหยุดแล้วเราก็เดินข้าม

แต่....
มันดันเปิดปิดเป็นเวลานี่สิ เปิดแปดโมงเช้า ปิดสิบโมง มาเปิดอีกทีตอนเย็น ปิดหนึ่งทุ่ม คืออะไร? เอสมามหาลัยตอนเช้าแปดโมงเนี่ยอยู่ในห้องเรียนแล้ว เลิกบางทีเที่ยงบ้าง ไม่ก็ดึกไปเลย สรุปสัญญาณไฟ ไม่เคยได้ใช้มาตลอด 4 ปี เป็นที่หงุดหงิดหัวใจ เพราะตอนเช้ารถโล่ง ก็ขับกันซะเร็ว ตอนเที่ยงมอเตอร์ไซค์ก็เยอะ ขับแทรกๆลักเลาะกัน จะข้ามแต่ละทีอย่างต่ำๆยืนรอ 10 นาที ตอนเย็นถนนมึดๆ ก็เอาอีก สัญญาณไฟไม่มี ส่องกันเข้าไป
ที่มาภาพ : http://kinkhaaw.blog.so-net.ne.jp/archive/c2300486232-2

พอโตขึ้น มาคุยเรื่องนี้กับเพื่อน เขาบอกว่า สำหรับชั่วโมงเร่งด่วนรัฐทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว เพราะว่าถ้าเปิดตลอดเวลา รถก็จะติดยิ่งกว่านี้ แล้วอาจจะมีรถชนกันมากกว่านี้ เพราะคนไทย เห็นสัญญาณไฟจะเร่งเครื่องซะมากกว่าหยุด และคนก็จะขับรถระมัดระวังน้อยกว่านี้ แต่เท่าที่ฟังดู มันเป็นที่นิสัยของคนขับรถบางคน และการอำนวยความสะดวกให้รถ ถ้าแบบนี้คนก็ออกรถกันมาหมดสิ

สำหรับเอสการออกรถไม่ใช่ปัญหา และจริงๆการเดินทางของเอสทุกวันนี้ต้องข้ามถนนน้อยมากๆ เลยไม่ได้เดือดร้อนอะไรเท่าไร แต่สำหรับคนที่เลี่ยงไม่ได้ล่ะ มันเหมือนเป็นการบีบบังคับเขาทางอ้อมว่า พอเขาเก็บเงินได้ต้องออกรถนะ เพื่อความสะดวกสบาย

หลายคนไล่ให้คนเดินข้ามถนนไปขึ้นสะพานลอย มีประเทศไทยประเทศแรกเนี่ยแหละที่คิดแบบนี้ คือสะพานลอยไม่ได้มีทุกแยก และไม่ได้มีเยอะ ในเมืองเนี่ย แทบจะเป็นทางม้าลายซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ต่างประเทศเราแทบไม่เห็นสะพานลอย เพราะเขาถือว่าทำลายทัศนียภาพ และจะจ่ายเงินสร้างทำไม ทางม้าลายถูกกว่าสะดวกกว่า

ตอนไปเรียนต่างประเทศ รถเขาเห็นเรายืนข้ามถนน คือเราเพิ่งเดินถึงตรงที่รอข้าม แต่เขาเบรคให้เราข้ามมาแต่ไกลเลย เดินข้ามถนนที่นั้นไม่ต้องกังวลว่ารถจะชน หรือต้องรอนานๆ ยกเว้นสี่แยกใหญ่ๆ ที่ต้องมีสัญญาณไฟให้ข้าม

รถเขาก็ไม่เห็นจะติดนะ คนก็ไม่เห็นจะตายนะ จะบอกว่าคนชาติเรากับเขาไม่เหมือนกัน คือไม่เหมือนกันตรงไหน ชาติอื่นมีอวัยวะ 33 ชิ้นเหรอ?ก็ไม่น่าใช่

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โครงการตาวิเศษเห็นนะ

ที่มาที่ไป
เนื่องจากโพสที่แล้ว หมูทอดของฉันหายไป วันนี้ได้คุยกับคนขับ Uber บ่นเรื่องนี้ คนขับบอกว่า เดี๋ยวมันก็กลับมา โครงการของเมืองไทยมันอยู่ไม่นานหรอก

ใช่ เป็นที่รู้กันว่า ไม่ว่าโครงการไหนๆของภาครัฐ ก็เห่ออยู่ไม่นาน โครงการตาวิเศษเห็นนะ โครงการที่ใครอายุเกิน 30 เนี่ยรู้จักแน่นอน เหมือนจะเป็นโครงการที่ได้ผลอยู่ระยะหนึ่ง และมันก็หายไป 10 ปีต่อมา มันกลับมาพร้อมกับโครงการ ทิ้งขยะลงพื้นปรับ 2000 บาท มีตำรวจตั้งจุดตรวจอยู่เป็นระยะๆ และมันก็หายไป
ที่มาภาพ : http://teen.mthai.com/variety/88074.html

ทำให้กลับมาคิดว่าทำไมนะ ทั้งๆที่ดูแล้วตัวโครงการมันก็ดี เมืองนอกเขาก็ทำกันแบบนี้ แต่ทำไมประเทศอื่นถึงทำแล้วได้ผล แต่ประเทศไทย กลับเป็นโครงการที่หายจ๋อม คิดไประหว่างทาง มองถนนไปเรื่อยๆ มีขยะไปทั่วเลยตามพื้น... ไม่สิ ไม่มีขยะเท่าไรนะวันนี้

ใช่แล้ว

เพราะว่าช่วงนี้ร้านขายของข้างทางแถวบ้านนั้น หายไปหมดเลย คนเลยไม่มีร้านซื้อของข้างทาง เมื่อไม่ไม่ได้ซื้อ ก็ไม่มีขยะให้ทิ้ง พ่อค้าแม่ค้าข้างทางก็ไม่มี เลยไม่มีขยะมาวางกองๆ เหมือนกัน

ความแตกต่างระหว่างเมืองไทยและเมืองนอก

เนื่องจากตอนนี้เราทำงานให้ภาครัฐ เรารู้อย่างถ่องแท้ว่า เวลาพวกนายๆทั้งหลายไปดูงานเป็นยังไง ทำให้เราสามารถจินตนาการเวลาผู้ใหญ่ทั้งหลายไปดูงานเรื่องโครงการไม่ทิ้งขยะได้ด้วย ฝรั่งก็คงพาไปดูระบบของประเทศเขา อธิบายข้อดีไปสิ ระบบทำยังไง รงณรงค์ยังไง พวกนี้กลับมาก็ทำรายงาน และพวกเขาเริ่มใช้กันนะ แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าระหว่างประเทศเขาและประเทศเราก็มีข้อแตกต่าง ที่ฝรั่งที่ไม่เคยมาประเทศไทย ไม่มีทางรู้และเข้าใจ

ประเทศไทยนั้น มีร้านอาหารขายของข้างทางเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะมุมไหน ตรอกซอกซอยไหนก็มี แถมอาหารบ้านเรานั้น อุดมไปด้วยน้ำจิ้ม น้ำมัน หรือกลิ่นควันย่างที่ตะลบอบอวน คนไทยส่วนมากเคยชินกับการเดินแล้วซื้อของตามทาง หลายคนเดินไปกินไป แน่นอนว่า เมื่อทานหมดต้องหาที่ทิ้ง

รัฐพยายามปลูกจิตสำนึกให้เอาขยะใส่กระเป๋ากลับไปทิ้งที่บ้าน เหมือนญี่ปุ่น แต่อาหารญี่ปุ่น ที่ขายข้างทางแบบซื้อเดินทานนั้นแทบไม่มี เพราะเขาถือว่าการเดินทานนั้นเสียมรรยาท ถ้าจะทานก็ต้องหาที่นั่งทานให้เรียบร้อย ในพื้นที่ที่รัฐจัดไว้ให้ ซึ่งส่วนมากมีถังขยะรองรับทั้งนั้น

กลับมาที่เมืองไทย ใครจะเอาถุงหมูปิ้ง ไส้กรอกทอด หมูทอด ใส่ลงกระเป๋าตัวเองบ้าง ถ้าแบบแยกน้ำจิ้มอาจจะพอมีคนทำ แต่ถ้าราดน้ำจิ้มแล้ว พร้อมทานล่ะ? แล้วยิ่งถ้าเราทานหมดแล้วล่ะ? ต่างคนต่างกลัวกลิ่น กลัวหก กระเป๋าเละอีก เพราะมีไม้จิ้มเป็นตัวเจาะถุงชั้นดี แถมเนื่องจากเหตุการณ์ระเบิดถังขยะเมืองหลายปีที่แล้ว ทำให้รัฐเอาถังขยะออกไปทั้งหมด กลายเป็นว่าเราไม่มีถังขยะทิ้งกันแล้ว ร้านข้างทางแก้ปัญหาด้วยการเอาขยะใส่ถุงขยะ กองๆกันไว้ข้างเสาไฟฟ้า

การแก้ปัญหา

ผู้ว่าที่เคารพแก้ไขด้วยการสร้างถังขยะที่ดัดด้วยเส้นอะลุมิเนียม แล้วเอาถุงใสใส่ไว้ข้างใน ผลคือ ฝนตกแล้วเน่าทันที ต่อมาพัฒนาเป็นถังขยะใสแบบในปัจจุบัน ที่ต้องเอาขยะผลักเข้าไปทิ้ง แต่ฝาผลักยากเหลือเกิน ท่านผู้ว่าบอกว่า กันแมลง (แน่สิ ขนาดคนยังต้องใช้แรงมหาศาล) สุดท้าย ตอนนี้หลายถังฝาหักไปเรียบร้อย แถมถังขยะก็เล็กไป ที่ที่มีร้านขายแน่ๆ ถังขยะมักเต็มด้วยความรวดเร็ว แต่ผู้คนก็ยังจะพยายามใส่เข้าไป จนมันล้น และเริ่มมีการวางไว้บนถังขยะแทน ส่วนแม่ค้าข้างทาง แน่ละใส่ไม่มีทางพอแม่ค้าเลยเอามัดใส่ถุงกองไว้ข้างๆขยะเหมือนเดิม กว่ารถเก็บขยะจะมาเก็บก็ตี 4 ทั้งหมาข้างทางเอย โชคร้ายฝนตกอีก ขยะเหล่านั้นจึงเน่าไปโดยปริยาย

เมื่อมีโครงการมา ก็กระตือรือร้นกันดี คนก็ทำตาม แต่มันทำไมไ่ด้ตลอดหรอก เพราะว่ารูปแบบชีวิตเราต่างกันเกินไป ถ้าอยากจะทำให้ได้ เราควรจัดระเบียบร้านทางเท้าก่อนเลย (เช่นตอนนี้ ไม่มีร้านทางเท้า ขยะลดลงอย่างเห็นได้ชัด) ต่อด้วยระบบขยะ รวมถึงการเก็บขยะบ้านเรา แล้วค่อยรงณรงค์ เราจะไปโยนภาระให้ตำรวจ หรือคนกลุ่มใดกลุุ่มหนึ่งไม่ได้ (มันไม่มีทางทำได้ตลอด) คนกรุงเทพที่ทำตามโครงการ จะได้รู้สึกว่าทำตามโครงการก็ไม่เห็นต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรมาก (เพราะนิสัยคนไทย ไม่เห็นก็ไม่ซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่มีขยะ) ถ้าทำแบบสบายๆไม่มีข้อขัดข้อง การเปลี่ยนความเคยชินจะง่ายขึ้น และสุดท้าย นี่อาจจะเป็นโครงการแรกที่ประสบความสำเร็จก็ได้นะ


ร้านหมูทอดโปรดฉันหายไป

เมื่อวันจันทร์นัดคนขับรถ Uber ที่สี่แยกหน้าบ้าน หวังว่าจะไปซื้อหมูทอดเจ้าประจำเป็นอาหารเช้า แต่ลืมไปว่าวันนี้เป็นวันจันทร์ ไม่มีของขายข้างทาง แงงง  เลยยืนรอรถอย่างเหงาหงอย บ่นให้พี่คนขับฟังจนหูชา ไม่เป็นไรแก้ตัวใหม่พรุ่งนี้วันอังคาร

เช้าวันอังคาร "พี่คะ มารับตรงสี่แยกนะคะ"

หมูทอดจ้า เอสมาแล้วววววววววววววววววว

------------------------------------------------------ไม่มี------------------------------------------------------

ทางเท้าอันแสนโล่ง มีรถเทศกิจจอดอยู่ไม่ไกล... อย่าบอกนะว่า เริ่มโครงการคืนทางเท้าให้ประชาชนแล้ว และคำตอบก็ไม่ไกล มีป้ายแขวนว่า ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. 58  เป็นต้นไป ห้ามขายบนทางเท้า ความรู้สึกคือดีใจมากกว่าเสียใจนะ เพราะว่าจะได้เดินทางเท้าสบายๆสักที ปกติต้องคอยหลบตรงนั้นตรงนี้ตลอดเวลา บางทีมีเตาย่างร้อนๆ กระทะน้ำมันอีก กว่าจะเดินถึงรถไฟใต้ดิน น้ำหอม Lancôme ของเอสก็หายไปมีกลิ่นหมูปิ้งหน้ากินมาทดแทนเรียบร้อย

วันนี้วันศุกร์แล้ว ทางเท้ายังโล่งเช่นเคย เท่าที่เดินๆดูก็ไม่มีใครบ่นเท่าไรนะที่ร้านอาหารเหล่านี้หายไป วันแรกๆ ก็ได้ยินคนเดินบ่นบ้าง แต่มาวันนี้ทุกคนเหมือนเริ่มปรับตัวได้ และเคยชิน

จะเป็นไปได้อีกนานแค่ไหนนะ เดี๋ยวรอมาดูกัน

ปล. รู้งี้ขอเบอร์ร้านหมูทอดไว้ก็ดี เสียใจ.... หมูทอดดดด

ความหลังและที่มา

บ้านของเอสเลี้ยงดูเอสเหมือนสำนวนที่ว่า "ดุจไข่ในหิน" เอสไม่เคยได้ออกไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่เคยไปบ้านเพื่อน เพื่อทำรายงาน นั้นคงไม่ต้องพูดถึงการออกไปเที่ยงต่างจังหวัดกับเพื่อน ไม่เคยมีสักครั้ง แต่กลับกันเอสได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก อย่างน้อยปีละครั้ง ช่วงแรกๆเอสก็ไปกับทัวร์ ตามพ่อแม่ไป บางประเทศเราตัดสินใจที่จะไปเพียงแค่ครั้งเดียว แต่บางประเทศครอบครัวของเรากลับมาแค่ 1 อาทิตย์ก็จองตั๋วเครื่องบินของเดือนหน้าเพื่อเดินทางกลับไปเยือนใหม่

จนปี 2547 พ่อของเอสได้เสียชีวิตลง การเดินทางไปต่างประเทศได้หยุดลง เปลือกไข่ของเอสได้มีรอยร้าวแล้ว เส้าหลักของครอบครัวหาย สิ่งต่างๆที่เอสไม่เคยได้ทำ เอสก็เริ่มต้นทำด้วยตัวของเอสเอง น่าตลกที่เด็กอายุ 18 เพิ่งหัดข้ามถนนเองเป็นครั้งแรก จำได้ว่าครั้งนั้นใช้เวลาเกือบ 30 นาที แถมพอมีคนจอดให้ เอสยังรู้สึกยินดีจนไปยกมือไหว้รถคันนั้นกลางถนน นึกกลับไปแล้วยังขำตัวเอง ชีวิตในช่วงนั้นผ่านไปเร็วมาก เอสได้ทำไข่ตุ๋นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นกับการได้หุงข้างเอง ไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง หาเงินใช้เอง ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนครั้งแรก เราได้ขึ้นดอยไปบริจาคของให้เด็กๆ รู้สึกถึงชีวิตนอกกรุงเทพเป็นครั้งแรก

ขึ้นดอยบริจาคของให้เด็กๆตามโรงเรียนครั้งแรก ณ เชียงใหม่

พอเรียนจบ เอสได้รับเข้าบรรจุงานทันที ท่ามกลางเพื่อนๆของเอสที่เป็นลูกเจ้าของกิจการ แต่เอสกลับทำงานราชการเงินเดือนเริ่มต้นที่เจ็ดพันกว่าบาท เทียบกับที่รับสอนพิเศษตามบ้านสมัยมหาลัยไม่ได้แม้แต่น้อย เอสเริ่มมีเพื่อนหลายกลุ่มมากขึ้น เพราะตอนนี้รอบตัวเอสมีทั้งเพื่อนที่ทำงานเอกชนระดับพนักงานธรรมดา ทั้งระดับลูกเจ้าของกิจการ หรือแม้กระทั้งระดับเจ้าของกิจการที่สรา้งมันขึ้นมาด้วยตัวเอง เพื่อนในวงการราชการ และวันหนึ่ง เอสก็ได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ เอสไปตัวคนเดียว โดยที่ไม่มีใครไปส่ง ใช้ชีีวิตอยู่คนเดียว จน 2 ปีผ่านไป

ทุกสิ่ง ทุกประสบการณ์ หล่อหลอมให้เอสมีวันนี้